คนที่ซื้อประกันภัยหลายๆ คน จะมีปัญหาในเรื่องนี้ คือรถที่ซื้อมาเป็นรถที่จดทะเบียนเป็นรถส่วนบุคคล
ซึ่งตามหลักการก็ควรจะเป็นรถที่ใช้ส่วนตัวในครอบครัว ไม่ได้นำรถไปรับจ้างหรือให้เช่าแต่อย่างใด

แต่จะด้วยความต้องการหารายได้เพิ่มเติม หรือเห็นว่ารถจอดอยู่ว่างๆ
ก็จะมีเจ้าของรถหลายคนเริ่มมีความคิดที่จะนำรถไปทำมาหากิน
เช่น นำรถส่วนตัวไปขับร่วมขับแท็กซี่ ไปรับจ้างขนของย้ายบ้าน
นำรถส่วนตัวไปทำเป็นรถรับส่งนักเรียน หรือพนักงานตามโรงงานต่างๆ

ซึ่งการกระทำแบบนี้ ถ้าคุณซื้อประกันภัยรถยนต์ไว้ และบริษัทประกันได้คิดเบี้ยประกันในราคารถใช้ส่วนบุคคล
ไม่ใช่ราคาที่ให้นำไปรับจ้าง หรือให้เช่า นั่นเท่ากับว่าคุณกำลังใช้รถผิดประเภทของการซื้อประกันภัย

ต้องแยกกันนะครับ ว่าคุณไม่ได้ทำผิดกฎหมายจราจรแต่อย่างใด แต่ทำผิดในเรื่องการให้ข้อเท็จจริงในการซื้อประกันภัย
ซึ่งถือว่าผิดหลักการทำประกันภัยในข้อที่ว่า “หลักสุจริตยิ่ง” 

เมื่อคุณนำรถคันนี้ไปใช้แล้วเกิดอุบัติเหตุ บริษัทประกันภัยมีสิทธิที่จะดำเนินการดังต่อไปนี้

1. ปรับเบี้ยให้ตรงกับลักษณะของการใช้รถ แล้วให้ความคุ้มครอง

2. คุณต้องเสียค่า Excess 2,000 บาทแรก ของความเสียหายต่อทรัพย์สินคู่กรณีก่อนจึงจะให้ความคุ้มครอง

3. คืนเบี้ยประกันภัย ยกเลิกกรมธรรม์ ไม่ให้ความคุ้มครอง 

จะเห็นได้ว่าถ้าคุณทำผิดเงื่อนไขของการทำประกันภัย แม้จะมีประกันอยู่ก็ตาม
แต่บริษัทก็อาจจะปฏิเสธความรับผิดได้เช่นกัน เพราะถือว่าคนใช้รถย่อมจะรู้ดีว่านำไปใช้รับจ้างหรือเปล่า

ถ้าคุณต้องใช้รถเพื่อทำมาหากินอยู่แล้ว ขอแนะนำให้แจ้งไปทางบริษัทประกันให้แก้ไขความคุ้มครองให้ถูกต้อง
โดยการซื้อประกันฉบับใหม่ คืนประกันฉบับเก่า ที่เหลือก็เพิ่มเงินเข้าไป เพียงแค่นี้ก็จะทำให้คุณได้รับความคุ้มครองตามกรมธรรม์ทุกประการ